ข่าวภาพยนตร์ 12 กรกฎาคม 2568

Superman – จากสัญลักษณ์อเมริกันสู่เรื่องราวของผู้อพยพ

[โปสเตอร์ภาพยนตร์ ชื่อภาพยนตร์]

เจมส์ กันน์ ได้นำเสนอ Superman (2025) ด้วยแนวคิดที่ท้าทายและลึกซึ้ง โดยวางแก่นเรื่องหลักไว้ที่ “ความเมตตาแบบมนุษย์” (human kindness) ซึ่งเขามองว่าเป็นคุณค่าที่สังคมสมัยใหม่กำลังสูญเสียไป กันน์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความเมตตาแบบมนุษย์เป็นคุณค่าและเป็นสิ่งที่เราสูญเสียไป” และเขาไม่กลัวที่จะนำเสนอแนวคิดนี้แม้ว่าบางคนจะมองว่าเป็นเรื่องที่ “ล้าสมัย” การตัดสินใจนี้เป็นการวางตำแหน่งให้ Superman เป็นยาถอนพิษต่อเรื่องเล่าแนวซูเปอร์ฮีโร่ที่เยาะหยันและชำแหละตัวละครในยุคปัจจุบัน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นแถลงการณ์ทางอุดมการณ์ที่ตรงไปตรงมาและทรงพลัง

Superman ในฐานะเรื่องราวของอเมริกา – มุมมองใหม่ของผู้อพยพ

การตีความ Superman ในฐานะ “เรื่องราวของอเมริกา” โดยกันน์ไม่ได้เป็นเพียงการอ้างอิงถึงสัญลักษณ์แบบดั้งเดิม แต่เป็นการเจาะลึกไปที่ประเด็นของการเป็นผู้อพยพที่ “มาจากที่อื่นและมาตั้งถิ่นฐานในประเทศนี้” กันน์ได้ปรับปรุงสัญญะของผู้อพยพที่แฝงอยู่ในต้นกำเนิดของ Superman มาโดยตลอด แต่ทำให้มันชัดเจนและเป็นศูนย์กลางมากขึ้น แตกต่างจากเวอร์ชันก่อนหน้าที่มักมุ่งเน้นไปที่การผสมกลมกลืน (assimilation) ภาพยนตร์เรื่องนี้สำรวจความตึงเครียดของการเป็นคนนอกที่การดำรงอยู่ของเขาท้าทายสภาพที่เป็นอยู่ การที่ภาพยนตร์ให้การยอมรับ Superman ในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะมีต้นกำเนิดเป็น “มนุษย์ต่างดาว” ทำหน้าที่เป็นบทวิจารณ์ที่ทรงพลังต่อการตัดสินบุคคลจากการกระทำมากกว่าถิ่นกำเนิด

ความซับซ้อนทางศีลธรรมและการเมืองในยุคใหม่

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้หลีกเลี่ยงประเด็นทางการเมืองและศีลธรรมที่ซับซ้อน โดยกันน์ยอมรับว่า “ใช่ มันเกี่ยวกับการเมือง แต่ในระดับอื่นมันเกี่ยวกับศีลธรรม” ความขัดแย้งหลักของเรื่องเริ่มต้นจากการที่ Superman เข้าแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งทำให้เขาขัดแย้งกับรัฐบาลสหรัฐฯ และกลายเป็นบุคคลที่ถูกถกเถียงทางการเมือง การนำเสนอนี้ทำให้ Superman ไม่ใช่แค่ฮีโร่ที่ต่อสู้กับอาชญากรรมธรรมดา แต่เป็นตัวละครที่ต้องเผชิญกับคำถามเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้ง: สิ่งมีชีวิตที่มีพลังอำนาจเช่น Superman มีสิทธิ์หรือแม้กระทั่งภาระหน้าที่ที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้ขาดความยุติธรรมระดับโลกหรือไม่ แม้ว่าการกระทำนั้นจะขัดต่อเจตจำนงของรัฐชาติอธิปไตยก็ตาม